ประกันสุขภาพ : ไขข้อข้องใจ ทำไมมะเร็งตับ เจอที่กระดูก?
เป็นข่าวน่าใจหายสำหรับแฟนละครกันพอสมควรกับข่าวการเสียชีวิตของพระเอกดังแห่งยุค 90 “ศรัณยู วงศ์กระจ่าง” ที่เสียชีวิตไปด้วยโรคมะเร็งตับ หลังเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา จากการประสบอุบัติเหตุล้มจนกระดูกสันหลังหัก จนหลายคนอาจสงสัย เพราะเหตุใดมะเร็งตับระยะสุดท้ายจึงแสดงอาการทางกระดูกออกมาให้เห็น วันนี้ สินมั่นคง ประกันสุขภาพ มีข้อมูลจากคุณหมอมาฝากกันค่ะ
“ตับ” อวัยวะที่สำคัญของร่างกายมนุษย์
ตับเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย มีขนาดประมาณหนึ่งในห้าสิบของน้ำหนักตัว นั่นคือหากร่างกายเราหนัก 50 กิโลกรัม ตับก็จะมีขนาดประมาณ 1 กิโลกรัม ลักษะของตับมีรูปร่างคล้ายลิ่มวางอยู่ในช่องท้องและกระบังลมด้านขวาโดยมีซี่โครงหุ้มอยู่ เมื่ออยู่ในร่างกายเราตับจะวางหันลิ่มด้านบางหันเข้าด้านใน โดยตับจะมีหน้าที่ดังต่อไปนี้
• เป็นแหล่งสร้างสารต่าง ๆ ที่ร่างกายต้องการ
• เป็นแหล่งสร้างน้ำดีและน้ำดีช่วยละลายไขมัน
• เป็นแหล่งสะสมพลังงานและสารอาหาร
• เป็นแหล่งผลิตพลังงานให้ร่างกาย ในการนำสารอาหารมาสลายให้พลังงาน
• เป็นแหล่งทำลายพิษต่าง ๆ และยา
• เป็นเกราะกำบังที่สำคัญให้กับร่างกาย
สาเหตุของการเกิดโรค “มะเร็งตับ”
ผู้ป่วยมะเร็งตับมักถูกเข้าใจผิดว่าป่วยด้วยโรคอื่น ๆ เช่น ปวดกระเพาะ ท้องอืด ไม่อยากรับประทานอาหาร บางก็เข้าใจว่าเป็นอาการของโรคถุงน้ำดีอักเสบ โดยสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งตับ คือ
• รับประทานผักและผลไม้น้อย
• รับประทานอาหารปนเปื้อน โดยเฉพาะสารอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin) ที่พบมากในถั่วลิสง พริกป่นแห้ง
• การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
• ไม่ได้พักผ่อน หรือพักผ่อนน้อย นอนน้อยกว่าวันละ 6-8 ชั่วโมงติดต่อกันเป็นเวลานาน
• กลั้นอุจจาระอยู่เสมอ
• มีไขมันเกาะตับ
• โรคเบาหวาน หรือโรคอ้วน
• ภาวะตับแข็งจากสาเหตุต่าง ๆ ได้แก่ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี
อาการของ “มะเร็งตับ”
อาการมะเร็งตับโดยทั่วไปจะสามารถมองเห็นได้ชัดเมื่อโรคพัฒนาจนถึงระยะกลางและระยะสุดท้าย จึงมักจะเสียโอกาสในการผ่าตัด และลุกลามไปจนถึงระยะสุดท้ายในที่สุด เราจึงควรหมั่นสังเกตอาการของตัวเองที่อาจเข้าข่ายต่อการป่วยเป็นมะเร็งตับได้ ด้วยอาการของโรคดังต่อไปนี้
• เมื่อรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีแรงอย่างต่อเนื่องไม่สามารถบรรเทาลงได้ มีไข้และบวมน้ำโดยไม่ทราบสาเหตุ
• มีอาการรู้สึกอึดอัดบริเวณส่วนหัวใจ
• ท้องบวม บริเวณท้องด้านขวารู้สึกเจ็บ รู้สึกไม่สบายหรือถูกกด
• น้ำหนักลดลงมีอาการไข้และตัวเหลืองโดยหาสาเหตุที่แน่ชัดไม่ได้
• มีความอยากอาหารลดลงอย่างเห็นได้ชัด ท้องรู้สึกแน่น อืด การย่อยอาหารไม่ดี บางครั้งปรากฏอาการคลื่นไส้ อาเจียน
• ปวดท้องด้านขวาบน มีอาการปวดบริเวณตับอย่างต่อเนื่องหรือเป็นบางครั้งบางคราว บางครั้งถ้าเนื้องอกมีการลุกลามอาการเจ็บก็จะรุนแรงขึ้น
• เลือดออก มักจะมีอาการเลือดไหลทางจมูก เลือดออกตามผิวหนัง คันตามผิวหนัง ตัวเหลือง
อาการดังกล่าวอาจไม่ใช่โรคมะเร็งตับเสมอไป แต่ก็ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริงและรีบทำการรักษา เพราะมะเร็งตับระยะแรกถูกตรวจพบและได้รับการรักษาอย่างเต็มประสิทธิภาพก็สามารถหายขาดจากโรคมะเร็งได้
เซลล์มะเร็งแพร่กระจายมาที่กระดูกได้อย่างไร?
เมื่อเป็นมะเร็งที่ใดที่หนึ่งในร่างกาย มักจะมีการกระจายของเซลล์มะเร็งไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น สมอง ปวด หรือกระดูก ในบางครั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งมาที่กระดูก มักจะถูกเรียกว่ามะเร็งกระดูก แต่จริง ๆแล้วเป็นการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งจากอวัยวะจุดกำเนิดมะเร็งหลักมาที่กระดูก และมะเร็งหลักที่มักจะมีการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งมาที่กระดูก ได้แก่
• มะเร็งเต้านม
• มะเร็งไต
• มะเร็งปอด
• มะเร็งต่อมลูกหมาก
• มะเร็งไทรอยด์
• มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิด multiple myeloma ที่มีการเพิ่มจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาวอย่างควบคุมไม่ได้
การแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งมาที่กระดูกอาจใช้เวลานานเป็นเดือนหรือหลายปี ผู้ป่วยบางรายอาการมักจะทรุดลงเมื่อทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหัก และเป็นอาการแรกที่นำมาสู่การวินิจฉัยของโรคมะเร็ง ส่วนใหญ่ มักเกิดกระดูกหักบริเวณแขน ขา และกระดูกสันหลัง หรือหากมีการหักของกระดูกสันหลังอาจทำให้เกิดเป็นกระดูกทับไขสันหลังได้ อาการที่พบคือ มีอาการปวดหลัง อาการชาหรือแขนขาอ่อนแรง มีความผิดปกติของระบบขับถ่ายและลำไส้ ซึ่งอาการเหล่านี้ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน
เมื่อเกิดอาการกระดูกหักเพราะมะเร็ง แพทย์จะทำการเอกซเรย์จึงจะสามารถมองเห็นความผิดปกติของกระดูก จากนั้นจะมาหาต่อว่า มะเร็งนั้นเกิดจากตัวกระดูกเองหรือลุกลามออกมาจากอวัยวะอื่น ๆ ซึ่งโดยปกติแล้ว ถ้าเป็นผู้ป่วยที่อายุมากหากพบก้อนมะเร็งบริเวณกระดูก ก็มักจะเกิดจากมะเร็งจากอวัยวะอื่นแพร่กระจายมาที่กระดูก
การแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งมาที่กระดูกยังมีการปล่อยสารแคลเซียมออกมาในกระแสเลือด ซึ่งทำให้ระดับแคลเซียมในเลือดสูงขึ้น ทำให้มีอาการไม่อยากอาหาร คลื่นไส้ ท้องผูก เหน็ดเหนื่อยง่ายหรือมีอาการสับสน ซึ่งอาการเหล่านี้ควรไปพบแพทย์เช่นกัน
การรักษา “มะเร็งตับ”
การรักษามะเร็งตับมีหลายวิธีขึ้นอยู่กับระยะลุกลามของโรค โดยแพทย์เฉพาะทางจะทำการพิจารณาวิธีที่เหมาะสมที่สุด ได้แก่
1. การผ่าตัดก้อนมะเร็งตับ เนื่องจากการผ่าตัดรักษามะเร็งตับไม่สามารถผ่าเฉพาะก้อนเนื้อที่เป็นมะเร็งตับออกไปได้ อาจส่งผลกระทบถึงเนื้อเยื่อข้างเคียง ทำให้เกิดอันตรายจนถึงตับวายได้ ดังนั้นผู้ป่วยที่จะรักษาด้วยวิธีนี้มีเพียง 10 – 20% ที่สามารถรักษาให้หายขาดได้
2. การจี้ด้วยคลื่นความถี่วิทยุ (Radio Frequency Ablation – RF) มักใช้ในกรณีที่ก้อนเนื้องอกมีขนาดไม่เกิน 3 – 4 เซนติเมตร โดยใช้เข็มเข้าไปทำลายก้อนเนื้อด้วยความร้อน โดยใช้การอัลตราซาวนด์หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ระบุตำแหน่ง ข้อดีคือเนื้อตับถูกทำลายน้อยมาก ทำลายเซลล์มะเร็งตับแบบถาวร ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว
3. การให้เคมีบำบัดผ่านทางหลอดเลือดแดง (Transarterial Chemoembolisation – TACE) เป็นการรักษาผู้ป่วยมะเร็งตับที่ไม่สามารถทำการผ่าตัดได้ และก้อนเนื้อบริเวณตับมีขนาดใหญ่ประมาณ 7 – 10 เซนติเมตร โดยการสอดกล้องหรือสอดท่อเข้าไปทางหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงก้อนเนื้องอกที่ตับ จากนั้นให้ยาฆ่าเซลล์มะเร็งและให้สารอุดกั้นหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงก้อนเนื้องอก ทำให้ก้อนเนื้องอกถูกทำลายด้วยเคมีบำบัดและขาดเลือดไปเลี้ยง วิธีนี้ช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อน แต่อาจต้องกลับมาทำซ้ำหากเซลล์มะเร็งยังมีอยู่ หรือรักษาก้อนเนื้องอกจนเล็กลง
4. การจี้ทำลายก้อนมะเร็งตับด้วยคลื่นไมโครเวฟ (Microwave Ablation) คล้ายกับวิธี RF โดยใช้เข็มที่ผลิตความร้อนจากคลื่นไมโครเวฟผ่านรูเล็ก ๆ ที่มีขนาดเพียง 2 – 3 มิลลิเมตรเข้าไปทำลายก้อนเนื้อในตับที่มีขนาดไม่เกิน 5 เซนติเมตร โดยใช้การอัลตราซาวนด์หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ระบุตำแหน่ง วิธีนี้ช่วยลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็ว
อีกทางเลือกหนึ่งของการคุ้มครองปัญหาทางสุขภาพเพื่อคุณ ประกันภัยโรคมะเร็งจากสินมั่นคงประกันภัยที่สามารถลดความเสี่ยงทางการเงิน จ่ายเป็นเงินก้อนเต็มทุนประกันทันทีที่ตรวจพบโรคมะเร็งครั้งแรก สนใจรายละเอียด คลิก www.smk.co.th/producthealthdetail/6 หรือ โทร.1596 ตลอด 24 ชั่วโมง
สินมั่นคงประกันสุขภาพ ..เราประกัน คุณมั่นใจ..
Photo source: freepik.com